Splenic Flexure syndrome, IBS ลำไส้แปรปรวน ปวดท้องด้านซ้ายบน

One day I will translate this to English to thank you for her pool of knowledge resource I have been using.

ผมมีอาการป่วยปวดท้องด้านซ้ายบนเรื้อรังมา2-3ปีแล้ว หมอบอกว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวน
วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงอาการ และการศึกษาเพื่อรักษาตน เพื่อให้ในอนาคตมีคนเป็นโรคนี้ สามารถที่จะ
ได้อ่านประสบการณ์ของผมเกี่ยวกับโรคนี้  เหมือนที่ผมวันนี้ได้อ่านประสบการณ์ของคนอื่นในเน็ตที่เขียนไว้เมื่อวันวาน


จนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าอาการที่รู้สึกมันเป็นของโรคมะเร็งหรือไม่ (หวังว่าไม่ใช่)เล่าล่ะนะ


ผมปวดท้องด้านซ้ายบนใกล้หัวใจมานาน แต่เดิมตอนเด็กๆจำได้ว่ากลัวเป็นโรคหัวใจ แต่มันอยู่ใต้กระบังลม ดังนั้นต้องไม่ใช่โรคหัวใจ  แล้วก็ไม่ได้สนใจอีก  จนกระทั่ง3ปีก่อน  มันปวดบ่อย และเจ็บขึ้นจนไปหาหมอ  ความเจ็บมันไม่ได้เจ็บมาก มันเจ็บรำคาญๆ  แต่มันเจ็บตลอดเวลา  ความรู้สึกเหมือนเป็นลมดันกระบังลมจนเจ็บ  และอาการดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับอาหารที่กินเข้าไป  แต่เดิมไม่รู้ว่ามันเป็นตรงไหนกันแน่ กระเพาะ หรือลำไส้
แต่ตอนนี้รู้แล้ว   เพื่อให้เรื่องยาวสั้นลง  มันคือตำแหน่ง Splenic Flexture    ตำแหน่งนี้อยู่ใต้rib cage ซ้าย  คือใต้ซี่โครงซ้ายใต้กระบังลม


ภาพแสดง splenic flexture

ผมไปเจอหมอบางคนบอกให้ไปตัดถุงน้ำดีออก  ทุกวันนี้ผมจำหน้ามันไม่ลืมเลยครับ  มันถามผมว่าเคยเจ็บด้านขวาบ้างไหม  พอใช่ มันจะส่งผมไปหาหมอผ่าตัดเพื่อตัดถุงน้ำดี  มันเป็นหมอคนเดียวที่ผมให้เกียรติใช้ศัพนามว่า"มัน"ตั้งแต่เกิดมา   ความเชื่อของผมตอนนี้คือ การที่มันปวดไปถึง Hepatic Flexture เกิดจากลมนั่นแหละ บางครั้งมันไหลระหว่างลำไส้ใหญ่ไปมา  แต่ส่วนใหญ่99% และตอนนี้  ยังคงเจ็บเหมือนอาการลมหรือน้ำดันที่ Splenic Flexture


ส่องกล้องตรวจลำไส้และกระเพาะ










คุณหมอบอกว่าเป็นโรค H. Pyroli  คือแบคทีเรียชนิดหนึ่งในกระเพาะอาหาร  คุณหมอบอกว่าพบติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่  ได้ทำการตัดไปตรวจตั้งแต่ส่องกล้องแล้ว พบว่าเป็นเนื้องอกชนิด Benign จะไม่กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง  (ความรู้ผมคือ เนื้องอกจะถูกแบ่งแยกออกเป็นสองชนิด Benign กับ Maligament ถ้าเผื่อเป็นอย่างหลัง มันคือเนื้อร้ายรอวันกลายพันธุ์เป็นมะเร็ง)


พอทำการส่องกล้องเสร็จ  เกิดอาการใหม่ที่ลำไส้อีก อันนี้ก่อนส่องไม่เคยเป็น  พอส่องเสร็จ ถ่ายครั้งถัดไปเป็นทันที และไม่เคยหายอีกเลย ..  ไม่เคย...   คราวนี้เป็นอาการ "อึทรงพลัง1ครั้งถ่ายหมด"  กล่าวคือ  พอเบ่งอึมันครั้งเดียว  มันก็ถ่ายหมดในครั้งเดียว ครั้งที่สองเบ่งไป เหมือนกับว่าแรงดันของการเบ่งมันจะไม่สุดถึงประตูทวาร  จนวันนี้ยังงงอยู่ว่าอะไรทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานให้ศักดิ์ลม(เหมือนศักดิ์ไฟฟ้า)ลดลงก่อให้กระแสลม(เหมือนกระแสไฟฟ้า)อ่อนตัวลงก่อนถึงประตู


ต้องอย่าลืมความเป็นไปได้ของการเป็นโรคหลายโรคพร้อมๆกัน  ก่อให้เกิดการ"อธิบายทิ้ง" เช่นเป็นทั้งโรคเหงือกและฟันผุที่ก่อให้เกิดอาการปวดฟัน  ต่อมาหมอตรวจพบโรคเหงือก รักษาโรคเหงือกหาย สุดท้ายก็ยังต้องเสียฟันเพราะโรคฟันผุ  เรากล่าวว่าโรคเหงือกอธิบายอาการปวดฟันทิ้งไป  ทำให้เราไม่ได้ระวังโรคฟันผุ   อันนี้คนเรียนวิชา Machine Learning อย่างผมก็รู้ แต่ก็ยังเสียฟันไปให้กับการอธิบายทิ้งหนึ่งซี่


กรณีนี้เช่นกัน H. Pyroli อาจจะเป็นแพะ หรืออาจจะเป็นสาเหตุร่วมก็ได้  จากการศึกษาของผม H. Pyroli สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องที่กระเพาะอาหารได้   แต่เมื่อรักษา H. Pyroli แล้ว  อาการปวดท้องก็ยังไม่หายยยยยยย  (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตนเอง ปวดท้องที่ตำแหน่ง Splenic Flexture) ไปถามหมอคนเดิมอีกหลายครั้ง  และอีกหลายหมอ  ล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่าเป็น IBS หรือโรคลำไส้แปรปรวน   ---หมอ  ผมเริ่มจะงงแล้วนะ เดี๋ยวรักษากระเพาะ เดี๋ยวค้นพบปัญหาที่ลำไส้ รักษาหลากหลาย  ชื่อโรคมากมาย  แต่ไหงอาการปวดท้องที่เป็นเหตุ ให้ไปหาหมอยังคงอยู่ แถมได้อาการใหม่ๆกลับมาด้วย  หรือว่ามีมากกว่า1โรคอีกแล้ว

ได้ทำการศึกษาเรื่อง H. Pyroli พบว่ามันอยู่ร่วมกับกระเพาะมนุษย์มานานแล้ว มันเป็นแบคทีเรียไม่กี่ชนิที่ทนกรดในกระเพาะได้   ที่มันก่อให้เกิดโรคเป็นเพราะมันไปอยู่ในตำแหน่งในกระเพาะที่ไม่ควรจะอยู่  ผมไม่ได้รู้หรอกครับ ว่าสรุปผมจะเป็น H. Pyroli หรือไม่ แล้วจริงๆ H. Pyroli เป็นแพะรับบาปหรือป่าว  เพราะตอนที่อ่าน ผมรักษา H. Pyroli ไปแล้ว

สุดท้าย  มานึกตัวเอง Search สิ่งต่างๆมากมายใน google ใช้ภาษาอังกฤษ  ทำไมไม่รู้จักใช้ภาษาอังกฤษกับ google รักษาตัวเองบ้าง   เลยลอง search  "left rib cage pain" ในที่สุดได้อ่าน comment ของคนมากมายบนโลก  ชัดเลย  เราเป็นตำแหน่งเดียวกัน อาการเดียวกัน  มันต้องเป็นโรคนี้แน่ๆ  (ชื่อใหม่อีกแล้ว เฮ้อ)  Splenic Flexture Syndrome.


 วันนี้ผมพยายามอีกครั้งแล้วพบเว็บนี้
http://www.topix.com/forum/med/gastroenterology/T7PNO3QH5G36NUAIT/p30
 อธิบายว่าอาจจะเป็นโรคแพ้กลูเต็น  จากสถิติของผม  ถ้าไม่กินขนมปัง นม กาแฟ เบียร์ เนื้อหมู,วัว,ไก่  อาการลมดันจะแทบไม่มี มันมีแต่น้อยมากๆ  ส่วนอาการโรคอึทรงพลังยังมีเหมือนเดิมราวกับว่าไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นคำอธิบายว่าเป็นโรคแพ้กลูเต็น ดูจะเป็นคำอธิบายที่น่าจะใช้ที่สุด The Most probable Explanation. ณ ตอนนี้  (แต่อาการอึทรงพลัง ยังคงต้องตรวจต่อไป การส่องกล้อง, CT, U/S ดูจะเป็นวิธีที่จะหาคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับโรคนั้น)




 http://www.ifrpd-foodallergy.com/images/pdf/Disease,%20gluten%20intolerance%20%28Coeliac%20Disease%29%20&%20the%20importance%20of%20the%20gluten-free%20diet..pdf

 สงสัยคงต้องบอกลา กาแฟ และ ขนมปัง  รูปแสดงของที่มีกลูเต็น



 ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อไปในอนาคตว่า เมื่อเลิกกินกลูเต็น อาการปวดท้องที่ Splenic Flexture จะหายหรือไม่   ถ้าใครมีอาการ หรือเป็นโรคคล้ายผมอ่านแล้ว  อยากให้คอมเม็นต์มาคุยกันดู  เผื่อจะได้ความรู้ร่วมกันในการรักษาอาการ



 
05/10/2016  ติดตามผลการรักษาโรคด้านบน : หายแล้ว
ส่องกล้อง 
ผล:
1 ไม่มีติ่งเนื้อในลำไส้
2 ไม่มี H. Pylori ในกระเพาะ
3. พบกระเพาะอักเสบเล็กน้อย Mild Gastritis, inactive








ผล อัลตราซาวด์: ปกติ



ความคิดเห็น

  1. http://www.thairath.co.th/content/504629


    นับวันโรคแปลกๆที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ มักจะปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุด “ถุงน้ำดีข้น” ที่เกิดจากระบบดูดซึมของร่างกายเสียสมดุล กำลังเป็นโรคใหม่ยอดฮิตของคนเมืองที่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ที่น่าสนใจคือ อาการของโรคนี้มักจะไม่ปรากฏที่ถุงน้ำดีโดยตรง แต่จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะอื่นๆ จนเรานึกไม่ถึง เช่น อาการปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง น้ำในหูไม่เท่ากันเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ ตาเหลือง กินได้น้อย ปวดหลัง ปวด สะโพก ปวดน่อง ตาฝ้าฟาง ตาเป็นต้อ เหงือกบวม ปวดเข่าขาไม่มีแรง ซึ่งดูแล้วเวลาที่เกิดอาการเหล่านี้ แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าเป็นอาการของโรคที่มีผลมาจากถุงน้ำดี

    โดยปกติ ถุงน้ำดี (GALL BLADDER) จะมีน้ำดีที่ถูกขับออกมาจากตับ เป็นเสมือนถุงสำรองที่เก็บน้ำย่อย คอยช่วยย่อยไขมัน เมื่อเวลาที่อาหารผ่านหลอดอาหารลงมาถึงกระเพาะและลำไส้ แต่หากเป็น ถุงน้ำดีข้น การทำงานของระบบดูดซึมปกติจะเสียไป เนื่องจากมีไขมันไปเกาะติดอยู่ที่ผนังลำไส้เล็กมากเกินไป จนไปขวางการดูดซึมของน้ำและอาหาร ทำให้การย่อยไม่ปกติ ร่างกายต้องดึงน้ำย่อยจากถุงน้ำดีมาใช้งาน ทำให้เกิดภาวะถุงน้ำดีข้น หากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้เกิดโรคอื่นๆตามมาได้ เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ ไปจนถึงมะเร็งลำไส้

    สาเหตุของการเกิดภาวะถุงน้ำดีข้น ที่พบบ่อยมาจากการกินอาหารผัดและทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนเมืองมากกว่าคนชนบทที่ยังมีการใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวอยู่บ้าง

    น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี คือ น้ำมันที่ถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้ง ไม่เหม็นหืน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะโครงสร้างเคมีเปลี่ยนไปหลังผ่านกรรมวิธี เมื่อกินเข้าไปในร่างกาย จะกลายเป็นคราบเข้าไปเคลือบกระเพาะ ลำไส้ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไปไม่สามารถแทรกน้ำมันพืชเข้าไปให้ร่างกายดูดซึมได้ คราบเหนียวหนึบยึดติดจากการกินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนอกจากจะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ แล้วยังไปเกาะตามผนังหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

    อธิบายให้เห็นภาพชัดๆก็คือ เมื่อทานน้ำเข้าไป 100% แทนที่น้ำจะพาวิตามินบีและซี ไปยังอวัยวะส่วนต่างๆเพื่อดูดซึมไปใช้ แล้วเหลือประมาณ 30-40% ส่งผ่านไปยังไต เพื่อขับส่วนที่เกินออกไปเป็นปัสสาวะ กลายเป็นว่า เมื่อมีไขมันไปเกาะมากๆ น้ำ 100% ที่ดื่มเข้าไป ร่างกายดูดซึมไม่ได้เลย กลายเป็นภาระของไตที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อนำน้ำ 100% กับวิตามินบีและซี ไปทิ้งเป็นปัสสาวะด้วย และอาจทำให้เกิดภาวะไตอักเสบจนต้องล้างไต หรือ ไตวายได้

    นอกจากนี้ เมื่อร่างกายขาดวิตามินบี ผลที่ตามมาคือ สมองไม่ปลอดโปร่ง ควบคุมอารมณ์ยาก โมโหหงุดหงิดง่าย ส่วนถ้าขาดวิตามินซีก็จะทำให้ติดเชื้อง่าย เป็นหวัดง่าย หายยาก

    ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า แม้ถุงน้ำดีจะเป็นระบบสำรองในการเก็บน้ำย่อย แต่ก็เป็นอวัยวะที่มีผลต่อระบบหมุนเวียนเลือด เมื่อเกิดภาวะถุงน้ำดีข้น ส่งผลให้เลือดไหลขึ้นไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย ทำให้เกิดอาการเวียนหัว ผมร่วง ปวดไมเกรน ปวดตามแนวหลัง สะโพก ขาด้านหลัง น่อง ฯลฯ

    การป้องกันภาวะถุงน้ำดีข้นที่เกิดจากการมีไขมันไปเกาะผนังลำไส้ จนระบบดูดซึมเสีย อย่างแรกเลยก็คือ หลีกเลี่ยงอาหารผัดหรือทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ดื่มน้ำบ่อยๆครั้งละน้อยๆ ไม่เครียด ไม่อดนอน จากนั้นให้หมั่นล้างระบบดูดซึม ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น ใช้มะละกอดิบ ต้มน้ำเอาน้ำมาชงชาแล้วดื่มเป็นประจำทุกวัน สูตรนี้จะช่วยล้างไขมันที่เกาะลำไส้ได้ดี

    ใช้โยเกิร์ตผสมนมสด น้ำผึ้งและมะนาว ผสมดื่มกิน อีกสูตรหนึ่งเป็นสูตรของแพทย์ทางเลือก ให้นำรากหญ้าคา เก๋ากี๊ เก๊กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ตะไคร้หอม ต้มรวมกัน แล้วกรองออกเหลือแต่น้ำ ดื่มเป็นชา ล้างลำไส้ได้ดีที่สุด

    ปัจจุบันคนไทย 70% กำลังเป็นโรคอ้วน ครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นโรคอ้วนมีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคไตในช่วงระยะเวลา 10-20 ปี และอีกครึ่งหนึ่งอาจเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ การดูแลถุงน้ำดีและระบบดูดซึมของร่างกายด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเป็นวิธีเดียวที่จะป้องกันภาวะถุงน้ำดีข้น โรคอ้วน โรคไต และมะเร็งได้

    เริ่มต้นวันนี้...ก่อนที่จะสายเกินไป.

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม